สิ่งหนึ่งเราแทบทุกๆ คนทำเหมือนกัน คือ การกินอาหารในแต่ละวัน บางคนกินเยอะ กินน้อย กินแพง กินดี กินแปลก กินผ่อนคลาย กินเอาอร่อย กินเข้าสังคม กินให้มีแรง เราต่างมีความชอบและการเลือกกินที่แตกต่างกัน เพราะรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่าง
การใส่ใจกับอาหารการกิน เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณสร้างสุขภาพให้ดีจากภายในและรูปร่างที่ดีเสมอ อีกทั้งได้สุขภาพที่ดีไปยาวนาน
ดังนั้น ไม่ว่ารสนิยมการกินอาหารของคุณจะเป็นแบบไหน โค้ชคาดหวังว่าบทความนี้จะเป็นตัวจุดประกาย ให้คุณสามารถปรับใช้ในการเลือกกินในแต่ละวัน แต่ละมื้อ ในแบบที่เข้ากับตัวคุณเอง และสร้างสุขภาพที่ดีเยี่ยมด้วย
รู้จักกับสารอาหาร 2 กลุ่มหลัก
ร่างกายของเรามีความต้องการอาหารทุกๆ วัน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย พลังงาน และใช้ในกระบวนการภายในระบบร่างกายทุกส่วน โดยสารอาหารที่ร่างกายเราต้องการนั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน

- Macronutrient ประกอบด้วย
- คาร์โบไฮเดรต ใช้เป็นแหล่งพลังงาน ให้เราสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้
- โปรตีน เสริมสร้างกล้ามเนื้อให้ร่างกายกักเก็บพลังงานได้มากขึ้น กระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เปรียบได้กับถังเก็บพลังงานที่มีขนาดตามมวลกล้ามเนื้อของเรา อีกทั้งทำให้เราเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่ว
- ไขมัน ใช้ในการทำงานของสมอง ฮอร์โมนและทุกระบบในร่างกาย
- Micronutrient กลุ่มสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน แต่มีความสำคัญต่ออวัยวะและระบบภายใน ส่วนใหญ่ร่างกายไม่สามารถผลิตได้เอง ต้องได้รับอาหารจากที่เรากินในทุกๆ วัน ประกอบด้วย
- กลุ่มวิตามิน คือสารอินทรีย์ สลายได้เมื่อถูกความร้อน เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการในปริมาณไม่มาก แต่สำคัญต่อกระบวนการต่างๆ ของร่างกาย
- กลุ่มแร่ธาตุ ใช้ในการสร้างโครงสร้าง เช่น กระดูก ฟัน และทำหน้าที่ควบคุมกลไลต่างๆ ในร่างกาย เช่น การทำงานระบบประสาท การหดตัวของกล้ามเนื้อ และรักษาสมดุลในร่างกาย
เราต่างรู้ว่าสารอาหารเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ แล้วเราควรกินในปริมาณแค่ไหน ยังไง ตอนไหนถึงจะดี
การจะหาคำตอบนั้น อยากชวนมารื้อฟื้นความเข้าใจ ระบบการย่อยอาหาร เพื่อให้เห็นภาพว่า อาหารที่เรากินกลายเป็นสารอาหารที่ถูกใช้ในร่างกายยังไงฉบับสรุปสั้นๆ
กระบวนการย่อยและใช้สารอาหารแต่ละชนิดในร่างกาย
1) คาร์โบไฮเดรต - ร่างกายย่อยเปลี่ยนรูปเป็นกลูโคส และถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น กระตุ้นให้ตับหลั่งอินซูลิน เพื่อผลักดันกลูโคสเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเป็นแหล่งพลังงานเรียกว่า ไกลโคเจน ใช้สำหรับเป็นพลังงานฉุกเฉินหรือเวลาที่เราออกกำลังในระดับเข้มข้นปานกลางถึงสูง เพราะร่างกายสามารถใช้สร้างพลังงานได้เร็ว
2) โปรตีน - ร่างกายย่อยเปลี่ยนในรูปแบบเป็นกรดอะมิโนเดี่ยว เพื่อดูดซึมผ่านผนังลำไส้ เข้าสู่กระแสเลือดไปสู่ตับ ตับเป็นส่วนควบคุม และตัดสินใจว่าจะใช้กรดอะมิโนที่มีอยู่ กับส่วนไหนของร่างกาย เช่น สร้างซ่อมแซมกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ สร้างฮอร์โมน สร้างภูมิคุ้มกัน จากนั้น ขจัดส่วนที่ไม่ได้ใช้ออกทางปัสสวะ
3) ไขมัน - ร่างกายย่อยเปลี่ยนรูปในกระเพาะและลำไส้ จากนั้นลำเลียงผ่านระบบน้ำเหลืองและเข้าสู่กระแสเลือด ไขมันที่เข้าสู่กระแสเลือดแล้ว จะถูกใช้ตามส่วนต่างๆ ของร่ายกาย เช่น ใช้เป็นพลังงานหลักในชีวิตประจำวัน, เก็บสะสมไว้ในเซลล์ไขมันเพื่อเป็นพลังงานสำรองในอนาคต, สร้างเยื่อหุ้มเซลล์, สนับสนุนการทำงานของฮอร์โมน, เป็นไขมันสมอง, ดูดซึมวิตามิน A, D, E, K
4) วิตามินและแร่ธาตุ - ร่างกายแยกสกัดออกมาจากอาหารที่เรากิน แล้วลำเลียงผ่านกระแสเลือดไปที่ตับ ตับควบคุมการกระจายลำเลียงไปใช้ยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยวิตามินสามารถถูกเก็บสะสมไว้ที่ตับ, เซลล์ไขมัน, หรือกระดูกและฟัน บางส่วนจะถูกขจัดส่วนเกินออก เช่น วิตามิน B และ C
บทบาทสำคัญของวิตามินและแร่ธาตุแต่ละชนิด
สารอาหาร | ประโยชน์ | |
วิตามินเอ | เอ-ตา | บำรุงสายตา, ภูมิคุ้มกัน, ผิวพรรณ |
วิตามินบีรวม (B1–B12) | บี-ชา | สร้างพลังงาน, บำรุงสมอง/เส้นประสาท, สร้างเลือด |
วิตามินซี | ซี-ผิว | สร้างคอลลาเจน (ผิว/แผล), เสริมภูมิ, ต้านอนุมูลอิสระ |
วิตามินดี | ดี-ดูก | ช่วยดูดแคลเซียม, บำรุงกระดูก, เสริมภูมิ |
วิตามินอี | อี-เด็ก | ปกป้องเซลล์, ต้านการเสื่อมลงของเซลล์ผิวและอวัยวะ |
วิตามินเค | เค-เลือด | ช่วยให้เลือดแข็งตัว, บำรุงกระดูก |
แคลเซียม | แคล-ดูก | สร้างกระดูก/ฟัน, กล้ามเนื้อหดตัว, หัวใจเต้น |
เหล็ก | เหล็ก-เลือด | สร้างเม็ดเลือดแดง ขนส่งออกซิเจนเพื่อสร้างพลังงาน |
แมกนีเซียม | แมก-สบาย | คุมการทำงานกล้ามเนื้อ/ประสาท, ช่วยผ่อนคลาย/นอนหลับ |
ซิงค์ หรือสังกะสี | ซิงค์-ภูมิ | เสริมภูมิ, สมานแผล, สร้างเซลล์ใหม่ |
โพแทสเซียม | โพ-สมดุล | คุมสมดุลน้ำ, กล้ามเนื้อ/หัวใจเต้นปกติ, คุมความดัน |
โซเดียม | โซ–สมดุล | คุมสมดุลน้ำ, ส่งสัญญาณประสาท |
ไอโอดีน | ไอ-เผาผลาญ | สร้างฮอร์โมนไทรอยด์ (คุมการเผาผลาญ) |
การเห็นภาพระบบการย่อยและลำเลียงสารอาหาร รวมทั้งการนำไปใช้งานตามอวัยวะและกระบวนการทำงานต่างๆ ทั่วร่างกาย จะช่วยให้เราออกแบบมื้ออาหาร ตามความต้องการของร่างกายได้อย่างถูกจุด สร้างสุขภาพที่ดีจากระบบภายในถึงรูปร่างภายนอก
ต่อไปเราจะนำความเข้าใจนี้ไปออกแบบวางแผน การกินในชีวิตประจำวัน เพื่อดูว่าเราควรกินให้ได้สารอาหารแต่ละชนิดในปริมาณเท่าไหร่ ช่วงเวลาไหน และเลือกกินจากแหล่งไหน
วาดภาพสุขภาพดี หุ่นปังในแบบคุณ
การมีสุขภาพ และรูปร่างที่ดีนั้นจะช่วยให้เรามั่นใจในการใช้ชีวิต มีพลังงานในการทำสิ่งต่างๆ ได้มาก และดูเท่

แต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันสักทีเดียว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญหลักๆ ที่ต้องมีคือ
- กล้ามเนื้อที่มากพอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง กระฉับกระเฉง และเน้นสัดส่วนรูปร่างที่ต้องการ กล้ามเนื้อที่มากขึ้น จะทำให้ร่างกายสามารถกักเก็บไกลโคเจนได้มาก และเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้เยอะ
- มีไขมันเพียงพอ เน้นไขมันดี เพื่อให้ร่างกายมีน้ำมีนวล ส่งเสริมการทำงานภายในระบบต่างๆ ตั้งแต่การดูดซึมสารอาหาร แหล่งพลังงานตลอดทั้งวัน ผลิตฮอร์โมนจำเป็น ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงจากภายใน สดใสภายนอก
- เสริมอาหารที่มีใยอาหารสูง วิตามินและแร่ธาตุ ที่ทำให้ระบบในร่างกายทำงานได้ดีเยี่ยม
โดยการจะสร้างสุขภาพและหุ่นที่ดีดังใจได้นั้น เราต้องอาศัย
- ออกกำลังกายฝึกแรงต้าน (weight lifting) เพื่อสร้างกล้ามเนื้อรูปร่างทั้งตัวและเน้นจุดเราที่ต้องการ
- ออกกำลังกายฝึกความทนทานของหัวใจและปอด (cardio) เพื่อให้พัฒนาความอึดในการออกกำลังและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องตัว อีกทั้งทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดดีอยู่เสมอ
- กินอย่างมีเป้าหมายเพื่อเสริมการออกกำลังกายและระบบภายในร่างกายให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการ
- นอนหลับให้ได้คุณภาพ ให้ร่างกายมีเวลาสร้างมวลกล้ามเนื้อให้สมบูรณ์ และปรับระดับฮอร์โมนให้สมดุล พร้อมกับการฝึกและทุกกิจกรรมในวันถัดไป
https://www.sleepinggift.com/why-we-exercise/
https://www.sleepinggift.com/should-we-sleep-tonight/
4 ขั้นตอน กินให้สุขภาพดี ได้หุ่นปัง

- คำนวณหาเป้าหมายแคลอรี่ต่อวัน
- แบ่งสัดส่วนสารอาหารที่ต้องกิน
- วางแผนเวลาการกิน
- เลือกแหล่งอาหารคุณภาพ
ขั้นตอนที่ 1 คำนวณแคลอรี่เป้าหมายในแต่ละวัน
ในแต่ละวัน ร่างกายเราเผาผลาญพลังงานกี่แคลอรี่กันนะ?
รู้จักกับ TDEE (Total Daily Energy Expenditure)
คือ จำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายเราเผาผลาญและใช้ในแต่ละวัน โดยคำนวณจาก 4 ส่วนหลัก
- BMR (Basal Metabolic Rate): 70% ของแคลอรี่ที่ใช้แต่ละวัน มาจากการใช้พลังงานของเซลล์กล้ามเนื้อ ไขมัน และทุกระบบภายในร่างกาย แม้ในเวลาที่เรานั่ง หรือนอนอยู่เฉยๆ
- EAT (Exercise Activity Thermogenesis): 5% ของแคลอรี่ที่ใช้แต่ละวัน จากการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมที่ใช้พลังงานความเข้มข้นปานกลางถึงสูง
- NEAT (Non Exercise Activity Thermogenesis): 10%-15% ของแคลอรี่ที่ใช้แต่ละวัน จากกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
- TEF (Thermic Effect of Food): 10% ของแคลอรี่ในแต่ละวันใช้สำหรับระบบย่อยและดูดซึมอาหาร
จากนั้นเลือกเป้าหมายในการกิน ว่าเราต้องการเพิ่ม ลด หรือรักษาน้ำหนัก
กินเพื่อเพิ่มน้ำหนัก ทำได้ 3 แบบด้วยกัน
- Dirty Bulk - เหมาะกับคนที่ชอบกินสบายๆ ไม่เคร่งครัดมาก
จำนวนแคลอรี่เพิ่ม: 500-1,000 แคลอรี่
แหล่งอาหาร: สามารถกินได้หลากหลายที่เน้นแคลอรี่สูง ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน
ข้อดี: เป็นการเพิ่มน้ำหนักที่เร็วที่สุด ใช้งบน้อยสุด
ข้อเสีย: ไขมันอาจสูงเกินกว่าที่เราจะเผาผลาญได้หมด และสะสมในร่างกาย ทำให้อ้วนขึ้นได้ และหากเลือกกินอาหารที่ไขมันไม่ดีสูง ก็สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพ สร้างการอักเสบในร่างกาย เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูง, อาหารทอด
- Regular Bulk - เหมาะกับคนที่ต้องการเพิ่มน้ำหนักแบบรักษาสุขภาพไปในตัว (เป็นแนวทางหลักที่แนะนำ)
จำนวนแคลอรี่เพิ่ม: 300-500 แคลอรี่
แหล่งอาหาร: เลือกแหล่งโปรตีนคุณภาพในปริมาณที่สูง และไขมันดีในระดับที่พอเหมาะ
ข้อดี: ร่างกายไม่สะสมไขมันส่วนเกินมากนัก
ข้อเสีย: ต้องคำนวณแคลอรี่ที่กินให้ไม่เกิน และเลือกอาหารที่กินมากขึ้น
- Lean Bulk - เหมาะกับคนที่ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ โดยไม่เพิ่มไขมันสะสมตามร่างกาย รักษาหุ่นรูปแบบให้ดูดีเสมอ
จำนวนแคลอรี่เพิ่ม: 100-300 แคลอรี่
แหล่งอาหาร: เลือกแหล่งโปรตีนคุณภาพในปริมาณที่สูง และไขมันดีในระดับที่น้อย
ข้อดี: ร่างกายไม่สะสมไขมันเพิ่มเลย และเน้นที่การเพิ่มสัดส่วนกล้ามเนื้อที่ต้องการ
ข้อเสีย: ใช้เวลานานสุดเนื่องจากแคลอรี่เพิ่มน้อยมาก ต้องมีความเคร่งครัดในการกินมาก โดยเน้นโปรตีน คาร์โบไฮเดรตช่วงเช้าและก่อนออกกำลังกาย คุมปริมาณอาหารที่มีไขมันสูง งดไขมันอิ่มตัวที่ไม่ดี

กินเพื่อลดน้ำหนัก
การลดน้ำหนักที่ดีนั้น ต้องไม่ให้เสียสุขภาพ โดยการรักษามวลกล้ามเนื้อซึ่งเป็นปัจจัยหลักของระบบเผาผลาญ และทำให้ร่างกายอยู่ในสถานะที่ใช้พลังงานจาก กลูโคสในกระแสเลือด, ไกลโคเจน และไขมัน
เราจะดูจากวิธีการเผาพลาญพลังงานของร่างกาย โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
แหล่งพลังงาน สำหรับกิจกรรมที่ใช้พลังงานระดับน้อยถึงปานกลาง
- จากไขมันแบบใช้ออกซิเจน เวลาที่เราทำกิจกรรมที่ใช้พลังงานระดับน้อยถึงปานกลาง เรียกว่า aerobic metabolism
แหล่งหลังงาน สำหรับกิจกรรมที่ใช้พลังงานระดับปานกลาง ถึง ระดับสูง
- พลังงานที่เก็บสำรองไว้ในเซลล์พร้อมใช้ทันที
- จากกลูโคสในกระแสเลือดเปลี่ยนเป็นพลังงาน โดยไม่ใช้ออกซิเจน เรียกว่า anaerobic metabolism
- จากไกลโคเจนที่เก็บอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อ
- จากไขมันที่สะสมอยู่
- จากมวลกล้ามเนื้อแปลงเป็นกลูโคส ในเวลาที่ร่างกายไม่มีแหล่งพลังงานอื่นแล้วเป็นแหล่งสุดท้าย
โดยเวลาที่เรากินอาหาร ร่างกายสามารถเก็บสะสม
- คาร์โบไฮเดรตในรูปแบบกลูโคสในกระแสเลือด และไกลโคเจนในเซลล์กล้ามเนื้อ
- ไขมันในเซลล์ไขมันตามอวัยวะต่างๆ
ส่วนโปรตีนนั้น ร่างกายจะขจัดส่วนที่ไม่ได้ใช้ออกทางระบบปัสสาวะ ไม่เก็บสะสมไว้
ดังนั้น สัดส่วนการกินเพื่อลดน้ำหนักนั้นเราจะเน้นที่ การลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตและไขมันเพื่อให้ร่างกายดึงที่สะสมอยู่มาใช้ และกินโปรตีนเติมให้ร่างกายอย่างเพียงพอทุก 3-4 ชม. เพื่อสร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อ
ขั้นตอนที่ 2 แบ่งสัดส่วน Macronutrients ต่อวัน
ทีนี้เรามาดูกันว่า เราควรแบ่งสัดส่วน Macronutrients ในการกินให้ถึงเป้าหมายแคลอรี่อย่างไร ประกอบกับการออกกำลังกายแบบฝึกแรงต้าน 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
1) อันดับแรกคำนวณโปรตีนที่ต้องกินในแต่ละวัน
เทียบกับมาตรฐานแนะนำโปรตีนต่อวัน ต่อน้ำหนักตัวตามระดับการออกกำลังกาย
- ออกกำลังกายน้อย: 0.8-1.0 กรัม/ก.ก.
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: 1.2-1.6 กรัม/ก.ก.
- สร้างกล้ามเนื้อ: 1.6-2.2 กรัม/ก.ก.
- ลดน้ำหนักและรักษามวลกล้ามเนื้อ: 2.2-2.6 กรัม/ก.ก.
- นักกีฬาและนักเพาะกาย: 2.2-2.5
เช่น น้ำหนักตัว 60 ก.ก. จำนวนโปรตีนต่อวัน ~/2.0 x 60 = 120 กรัม
โปรตีน 1 กรัม = 4 กิโลแคลอรี่ คิดเป็น 480 กิโลแคลอรี่

2) คำนวณไขมันที่ร่างกายต้องการต่อวัน
ปริมาณแนะนำต่อวัน สำหรับฮอร์โมนและสมอง (0.8-1.2 กรัม/ก.ก.)
โดยขึ้นอยู่กับความต้องการเพิ่ม,ลด หรือ รักษาระดับ % ไขมัน
เช่น 1.0 x 60 = 60 กรัม
ไขมัน 1 กรัม = 9 กิโลแคลอรี่ คิดเป็น 540 กิโลแคลอรี่ หรือ ประมาณ น้ำมันมะกอก 4 ช้อนโต๊ะ
3) คำนวณส่วนที่เหลือเป็นคาร์โบไฮเดรต
เช่น สมมุติ เป้าหมาย TDEE + 500 กิโลแคลอรี่ = 2700 กิโลแคลอรี่ เพื่อเพิ่มน้ำหนัก
คำนวณได้ 2,700 - 480 - 540 = 1,680 กิโลแคลอรี่
คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม = 4 กิโลแคลอรี่ คิดเป็น 1,680 / 4 = 420 กรัม (ให้เลือกทานหลากหลายจาก แป้งไม่ขัดสี ผักผลไม้ ธัญพืช)
โดยเราสามารถถาม หรือถ่ายรูปจานอาหาร ส่งให้ ChatGPT ให้คำนวณจำนวนปริมาณกรัม ของคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ให้ได้เลย
ตัวอย่าง: https://chatgpt.com/share/6868c05b-49bc-8013-987b-6c7f640b9d02
ขั้นตอนที่ 3 วางแผนเวลามื้ออาหาร
หลักเกณฑ์การเลือกเวลา เราจะเน้นการกินในช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการ และสามารถเผาผลาญสารอาหารแต่ละชนิดได้ดีที่สุด

- กินโปรตีนเติมให้ร่างกายอยู่เรื่อยๆ ทุกๆ 3-4 ชม. เพื่อให้มีเพียงพอที่ร่างกายต้องใช้
- กินคาร์โบไฮเดรตช่วงเช้าและก่อนออกกำลังกายให้มาก และลดปริมาณลงในมื้ออื่นๆ โดยเฉพาะมื้อเย็นหากออกกำลังกายก่อนมื้อเย็น เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมกลูโคสและไขมัน
- กินไขมันให้เพียงพอที่ร่างกายต้องการ เลือกกินไขมันดี โดยเน้นกินตอนท้องว่างช่วงเช้า หรือข่วงค่ำ เพราะร่างกายใช้เวลาย่อยไขมันนาน อาจกระทบการย่อยคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนหากกินพร้อมกัน
- กินอาหารที่มีวิตามิน B และ C ในบางมื้อ (กลุ่มละลายในน้ำร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมได้ดี) โดยอาจเป็นเช้าหรือเย็นเพื่อเติมเข้าสู่ร่างกาย
ขั้นตอนที่ 4 เลือกแหล่งอาหารคุณภาพ
กลุ่มโปรตีน: เน้นที่มีกรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด, ย่อยง่าย, มีประสิทธิภาพในการสร้างซ่อมแซมกล้ามเนื้อ เช่น ไข่, อกไก่, กรีกโยเกิร์ก, เวย์โปรตีน, ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, เต้าหู้, โปรตีนพืชต่างๆ
กลุ่มไขมัน: เน้นกลุ่มไขมันดี ที่มีโอเมก้า-3 และ -6 เช่น ปลาแซลมอน, อะโวคาโด, น้ำมันมะกอก, chiaseeds, flexseeds, อัลมอนด์, วอลนัท, เนยถั่ว, dark chocolate, มะพร้าว, ไข่แดง, ชีส
กลุ่มคาร์โบไฮเดรต: แบ่งเป็น 2 กลุ่มตามความเร็วในการย่อย
- Complex Carbs: ร่างกายย่อยเป็นกลูโคสได้ช้า ร่างกายใช้ได้นาน เพราะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพลังงาน เช่น ควีนัว, ข้าวโอ๊ต, มันหวาน, ข้าวไม่ขัดสี, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่, ขนมปังโฮลวีต, ผักผลไม้ต่างๆ
- Simple Carbs: ร่างกายย่อยเป็นกลูโคสได้เร็ว เพราะโครงสร้างโมเลกุลไม่ซับซ้อน หรือ มีการผ่านการแปรรูป ขัดสีมาบ้างแล้ว เหมาะกับเวลาที่เราต้องการพลังงานใช้ทันที เช่น กล้วย, ข้าวขาว, ขนมปัง
วิตามินและแร่ธาตู: ส่วนใหญ่อยู่ในอาหารที่เรากินอยู่แล้ว หากเรากินอาหารที่หลากหลาย และเน้นครบทุกหมวดหมู่ รวมทั้งได้รับแสงแดดเพียงพอเพื่อให้ร่างกายสร้างวิตามินดี หรือการทานอาหารเสริมก็เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการทานให้ครบได้ทุกๆ วัน
สรุปการกินให้สุขภาพดี ปรับใช้ได้ทันที
เริ่มต้นจาก มองภาพสุขภาพ และร่างกายที่เราต้องการมีให้ชัดเจน
แล้วมองการกินเป็นวิธีในการสร้างมันขึ้นมา
“You are what you eat” นั้นเป็นประโยคที่ใช่เลย เพราะ การกินให้ได้รับสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เป็นพื้นฐานสำคัญ ในการสร้างสุขภาพที่ดีจากภายใน ออกมาภายนอก ให้เรามีพลังงานและความแข็งแรง
ส่วนหลักการกินนั้น สรุปได้ 2 ข้อแบบไม่ลงเทคนิค คือ
- เน้นกินเพื่อสร้างรักษามวลกล้ามเนื้อ เติมระดับไขมันดีให้พอที่ร่างกายต้องการ และมีพลังงานพร้อมใช้จากคาร์โบไฮเดรต
- เลือกอาหารที่หลากหลาย เพื่อให้ได้วิตามินและแร่ธาตุครบเพียงพอกับที่ร่างกายต้องใช้
กินอย่างมีเป้าหมาย เราจะชอบวิถี และอาหารเหล่านั้นเองในที่สุด เช่นเดียว กับทุกเรื่องในชีวิต
Member discussion: